ที่นอนลมป้องกันแผลกดทับ เป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับผู้ป่วยที่ต้องนอนติดเตียงเป็นเวลานาน เพราะช่วยลดแรงกดที่ผิวหนัง ป้องกันการเกิด แผลกดทับ ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในผู้สูงอายุและผู้ป่วยหลังการผ่าตัด โดยทั่วไปที่นอนลมมี 2 ประเภทหลัก
ได้แก่ แบบลอน (Tubular type) และ แบบรังผึ้ง (Bubble type)ซึ่งแต่ละแบบมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกับ
ตารางเปรียบเทียบ
คุณสมบัติ |
ที่นอนลมแบบลอน (Tubular) |
ที่นอนลมแบบรังผึ้ง (Bubble) |
รองรับน้ำหนัก |
สูง เหมาะกับผู้ป่วยรูปร่างใหญ่ |
ต่ำ-ปานกลาง เหมาะกับผู้ป่วยรูปร่างเล็ก |
ความทนทาน |
สูง ใช้งานได้นาน |
ปานกลาง เสี่ยงรั่วซึมง่าย |
ราคา |
สูงกว่า |
ประหยัด |
ความสะดวกในการเคลื่อนย้าย |
ค่อนข้างหนัก |
เบา เคลื่อนย้ายง่าย |
เหมาะสำหรับ |
ผู้ป่วยติดเตียงระยะยาว |
ผู้ป่วยที่ใช้ชั่วคราว หรือน้ำหนักไม่มาก |
---
1. ที่นอนลมแบบลอน (Tubular Type)
ลักษณะ: มีท่อลมยาวขนานกันทั้งผืน สลับพองและยุบเป็นจังหวะ
ข้อดี
รองรับน้ำหนักได้มาก เหมาะกับผู้ป่วยรูปร่างใหญ่หรือน้ำหนักมาก
ท่อลมมีความหนา ทำให้กระจายน้ำหนักได้สม่ำเสมอ
ทนทาน ใช้งานได้นานกว่ารังผึ้ง
ลดแรงกดทับได้ดีในผู้ป่วยที่ต้องนอนนานหลายชั่วโมง
ข้อจำกัด
ราคาสูงกว่าแบบรังผึ้ง
มีน้ำหนักมาก เคลื่อนย้ายไม่สะดวก
ใช้พื้นที่ค่อนข้างมาก
---
2. ที่นอนลมแบบรังผึ้ง (Bubble Type)
ลักษณะ: ผิวที่นอนมีช่องอากาศเล็ก ๆ คล้ายรังผึ้ง สลับพองยุบเป็นจังหวะ
ข้อดี
ราคาประหยัด เหมาะกับผู้ป่วยที่ใช้งานชั่วคราว
น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย เคลื่อนย้ายสะดวก
เหมาะกับผู้ป่วยน้ำหนักตัวไม่มาก (ไม่เกิน 80 กก.)
ข้อจำกัด
รองรับน้ำหนักได้จำกัด หากผู้ป่วยน้ำหนักมากประสิทธิภาพลดลง
ความทนทานน้อยกว่าแบบลอน อาจรั่วซึมง่ายเมื่อใช้ต่อเนื่องนาน ๆ
ลดแรงกดทับได้ในระดับเบื้องต้น เหมาะกับผู้ที่ยังขยับตัวได้บางส่วน
---
สรุป ******
หากผู้ป่วยต้อง นอนติดเตียงเป็นเวลานาน น้ำหนักตัวมาก หรือเสี่ยงแผลกดทับรุนแรง
→ แนะนำ ที่นอนลมแบบลอน
หากผู้ป่วย นอนติดเตียงไม่นาน น้ำหนักไม่มาก และต้องการความประหยัด
→ แนะนำ ที่นอนลมแบบรังผึ้ง
การเลือกซื้อควรพิจารณาจาก สภาพร่างกายของผู้ป่วย ระยะเวลาการใช้งาน
และงบประมาณ เพื่อให้ได้อุปกรณ์ที่เหมาะสมที่สุด
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ฟรี

